
หมอธีระ ประเมินสถานการณ์โควิด-19 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังน่าห่วงวันเดียวพุ่ง 2 แสนราย ชี้ รัฐ - หน่วยงาน -ประชาชนไทย การ์ดห้ามตก ไม่ประมาทชุมนุมแออัด ย้ำ! หนทางรอด คือ ความร่วมมือ
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า...
19 กรกฎาคม 2563
รอดหรือเละ...อยู่ที่มือคนไทยกันเอง โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้ทั่วโลกมีรายงานติดเชื้อเพิ่มกว่าสองแสนคน เดิมช่วงมีนาคมเพิ่มเฉลี่ยวันละ 32,000 คน ขึ้นมาเป็นวันละ 100,000 คนในช่วงพฤษภาคม และทวีความรุนแรงมาแบบในปัจจุบัน
ยอดรวมตอนนี้ 14,375,723 คน ยอดตายวันนี้ทะลุหกแสนคนไปเรียบร้อยแล้ว
สู้กันมาแทบตาย ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา...ปิดประเทศ ปิดเมืองแบบไทยๆ ทำกันอย่างพร้อมเพรียง และแสดงให้เห็นว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะสามารถควบคุมโรค COVID-19 ภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพดังข้อมูลที่เราเห็นกันทุกวัน
จนฝรั่งยังเขียนบทความแซวเราว่า "ไม่รู้ว่าไทยทำถูกไหม...แต่ที่แน่ๆ คือมันได้ผล"ในการจัดการโรค COVID-19 โดยหลายต่อหลายประเทศยังไม่สามารถจัดการได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทั่วโลกติดโควิด-19 ทะลุ 14.4 ล้านราย เสียชีวิตกว่า 6 แสนราย
จากการที่เกาะติดสถานการณ์โรคระบาดนี้มาตลอด ทั้งด้านข้อมูลสถานการณ์ทั่วโลก นโยบาย และวิชาการแพทย์ ผมสรุปสั้นๆ ว่า เราประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับการระบาดระลอกแรกมาได้ เพราะการตัดสินใจที่เด็ดขาด ถูกที่ ถูกเวลา ของรัฐ
การมีกลไกกลางอย่างศบค. ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การอำนวยการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ทำงานแบบเบี้ยหัวแตกแบบในช่วงแรกๆ ที่ขาดประสิทธิภาพและไม่ทันต่อสถานการณ์การระบาด
การได้รับการนำเสนอนโยบายและมาตรการที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์จากโรงเรียนแพทย์ และการตอบรับจากนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตัดสินใจดำเนินการอย่างถูกเวลา และทันเวลา
และแน่นอนที่สุด ความสำเร็จนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้แบบที่เห็นในปัจจุบัน หากขาดความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจต่อสู้ของประชาชนชาวไทยทุกคน ร่วมกัน...อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ... ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่กันห่างๆ ตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
...แม้ประสบความสำเร็จ ไม่มีเคสติดเชื้อภายในประเทศมาเกือบจะสองเดือน แต่ไม่ได้แปลว่าเราชนะศึกโรคระบาดครั้งนี้...
ไวรัสยังอยู่...ระบาดรุนแรงทั่วโลก เปิดประตูประเทศเมื่อใด ก็มีโอกาสเข้ามาระบาดในประเทศได้ หากการ์ดไม่แข็งแรง
และไวรัสก็มีโอกาสยังอยู่ในประเทศ...เพียงแต่คนติดเชื้ออาจไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยคล้ายหวัด จึงไม่ได้ไปตรวจรักษา และโชคดีที่คนไทยเราส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ป้องกันตัวอย่างแข็งขัน
แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา...บอกตรงๆ ว่าน่าห่วงเหลือเกินว่า ไทยจะสะดุดขาตัวเองจนหัวคะมำได้ในไม่ช้า
"รอดหรือเละ"...ออกเสียงพยางค์เดียวเหมือนกัน แต่สะกดต่างกันและความหมายต่างกันราวฟ้ากับเหว
โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ แถมยังไม่มียารักษามาตรฐาน ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และตายได้
ถ้าประมาท...การ์ดตก ก็สะดุดจนหัวคะมำ
กรณีทหารอียิปต์และน้องจากซูดาน ช่วยเตือนสติของพวกเราว่า ระบบการป้องกันต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ทั้งคัดกรอง กักตัว และติดตาม
รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ส่วนกลางไปจนถึงระดับพื้นที่ "ต้องไม่ประมาท", "ไม่ทะนงตนว่าระบบเราเจ๋ง เพราะสู้จนผ่านระลอกแรกเราผ่านมาได้", "ระลึกเสมอว่าระลอกสองจะมีโอกาสรุนแรงกว่าเดิม ยากกว่าเดิม และหมั่นตรวจสอบช่องโหว่ในระบบอยู่เสมอ", และสำคัญที่สุดคือ "มาตรฐานมีเพียงมาตรฐานเดียว โดยต้องปรับใช้กับแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทย"
โชคดีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เราทุกคน"ตื่น"จากภวังค์ได้ และกุลีกุจอช่วยกันปรับปรุงระบบกันอย่างเร่งด่วน หวังใจว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี ติดตามกันไปถึงปลายเดือนนี้
ในขณะที่อีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะกลายเป็นภัยคุกคาม และทำให้สะดุดหัวคะมำจนบาดเจ็บรุนแรงได้คือ "การชุมนุม (Mass gathering)"
หลายประเทศทั่วโลกแสดงให้เราเห็นมาแล้วว่า การรวมตัวชุมนุมเรียกร้องอะไรก็แล้วแต่ในสถานการณ์โรคระบาด จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมากมายรุนแรง
กาละเทศะ...คือสิ่งที่แต่ละคนพึงมี ควรรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ในช่วงที่ยังมีโรคระบาด
ความเห็นต่างนั้นมีได้ในสังคม สามารถแสดงออกได้หากถูกที่ถูกทาง ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือเป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นในสังคม
หาก"ดีและมีกึ๋นจริง" ก็ต้องพัฒนารูปแบบการแสดงความเห็นของตนเองหรือกลุ่มตนเองต่อรัฐ เพื่อให้ทราบถึงความเดือดร้อน ความกังวล หรืออะไรก็แล้วแต่ พร้อมเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาสังคม
ประชาธิปไตย...คือการมีส่วนร่วมของประชาชน
แต่การมีส่วนร่วมนั้นควรเป็นส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ พัฒนา และก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อสังคมโดยรวม ไม่ใช่เป็นไปในทางตรงกันข้าม
หากการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมืองยังเป็นไปในลักษณะเดิมที่เน้นการปลุกระดม ใช้อารมณ์เหนือสติปัญญา มีโอกาสเกิดความรุนแรงทะเลาะเบาะแว้ง รวมตัวกันอย่างแออัดแนบชิด ไม่ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันควบคุมโรค ใส่หน้ากากบ้างไม่ใส่หน้ากากบ้าง...โอกาสระบาดอย่างเละเทะก็มีสูง มีเพียงแค่รอเวลาแจ็คพอตเท่านั้น
ยอมรับไม่ได้...หากจะใช้"สิทธิส่วนตน"มากระทำการซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนอื่นๆ ในสังคม
พอประเมินทั้งสองสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา รอดหรือเละ...ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคน
รัฐจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเแสดงออกของกลุ่มคน ให้อยู่ในรูปแบบที่กำหนด ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคแก่ทุกคนในสังคม
ส่วนคนไทย นอกจากการตั้งการ์ด ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นๆ พูดน้อยลง พบปะคนน้อยลงสั้นลงแล้ว สิ่งที่จำเป็นคือ การมีสติในการใช้ชีวิต เลี่ยงการไปร่วมการชุมนุมหรือที่แออัดที่จะมีโอกาสแพร่ระบาดของโรค และหมั่นสังเกตอาการของตนเองและครอบครัว หากไม่สบายรีบไปตรวจรักษาแต่เนิ่นๆ
ไม่งั้นที่เราร่วมกันต่อสู้มาหลายเดือน...อาจสูญเปล่าได้
ด้วยรักต่อทุกคน
ประเทศไทยต้องทำได้
อ้างอิง : รอดหรือเละ...อยู่ที่มือคนไทยกันเอง
"การป้องกัน" - Google News
July 19, 2020 at 09:43AM
https://ift.tt/2E0Ofat
รอดหรือเละ...อยู่ที่มือคนไทยกันเอง - ฐานเศรษฐกิจ
"การป้องกัน" - Google News
https://ift.tt/2ZY9SB2
Bagikan Berita Ini
0 Response to "รอดหรือเละ...อยู่ที่มือคนไทยกันเอง - ฐานเศรษฐกิจ"
Post a Comment